แนวโน้มแบบประกันชีวิตยุคใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการ

แนวโน้มแบบประกันชีวิตยุคใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการ

ขณะเดียวกันระยะเวลาอันใกล้ก็ยังมีเทรนด์ของแบบประกันอีกหลายรูปแบบที่ กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง "ความเปลี่ยนแปลง" ที่จะเกิดขึ้นในธุรกิจนี้

ล่าสุด สมาคมประกันชีวิตไทย โดย นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ ได้จัดสัมมนาเรื่อง "Trend ผลิตภัณฑ์สำหรับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน...ให้อะไรกับประชาชน" โดยมี น.ส.วราวรรณ เวชชสัสถ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์และบุคลากร สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมเสวนาด้วย

ในวงสัมมนาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวโน้มผลิตภัณฑ์ในปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะมีแบบประกันใหม่ๆ หลายแบบเกิดขึ้นที่เป็นไปตามเทรนด์ของกระแสของธุรกิจประกันชีวิตในต่าง ประเทศ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ ที่มีอยู่เดิมก็ยังมีบทบาทสำคัญในการขยายตลาดให้มีผู้ถือกรมธรรม์รายใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ซึ่งความเห็นจากการสัมมนาครั้งนี้แบ่งแนวโน้มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรกเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทความคุ้มครอง ซึ่งถือเป็น "พื้นฐาน" ของธุรกิจประกันชีวิต แม้จะไม่แปลกใหม่แต่ก็เป็น "จุดขาย" สำคัญในการเจาะตลาดใหม่ๆ และ ดึงให้ประชาชนสนใจซื้อประกันชีวิตมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ 2 ก็มีแนวโน้มการเติบโตมาจากปีนี้อีกเช่นกันก็คือ "ประกันโรคร้ายแรง" ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มช่วงนี้ที่ผู้คนตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพ โดยแบบประกันกลุ่มนี้จะมีทั้งที่แยกประเภทของโรคออกมาเฉพาะ เช่น ประกันโรคมะเร็ง และประเภทที่รวมความคุ้มครองครอบคลุมโรคร้ายแรงต่างๆ เอาไว้

"ประกันบำนาญ" เป็นผลิตภัณฑ์อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเริ่มเกิดกระแสความสนใจมากขึ้นในปีหน้า เนื่องจาก คปภ.จะขอปรับแก้เงื่อนไขกฎหมายเพื่อให้บริษัทประกันชีวิตสามารถออกประกัน บำนาญแท้ๆ ที่มีเงินคืนรายปีให้แก่ผู้เอาประกันหลังเกษียณอายุไปจนถึงวาระสุดท้ายของ ชีวิต ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้ประชาชนเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับการ เกษียณอายุได้เอง และลดการพึ่งพางบประมาณภาครัฐ ให้พร้อมรับมือกับ "สังคมผู้สูงอายุ" (aging society) ซึ่งประเทศไทยเริ่มเผชิญเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก โดย คปภ.ฟันธงมาแล้วแบบประกันนี้จะเริ่มออกสู่ตลาดได้ในต้นปีหน้า

กลุ่มสุดท้ายเป็นแบบประกันประเภทควบการลงทุน คือ "ยูนิต ลิงค์" ซึ่งเป็นแนวโน้มความนิยมมาจากต่างประเทศ และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่ผู้เอาประกันจะได้ทั้งความคุ้มครองและ โอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยเบี้ยประกันของยูนิต ลิงค์ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการคุ้มครองผู้เอาประกัน ส่วนที่สองจะนำไปลงทุน ซึ่งปัจจุบันผู้เอาประกันสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนได้เองตามความต้องการของ แต่ละคน

"ยูนิต ลิงค์" ยังถือเป็นแบบประกันที่ค่อนข้างใหม่และมีความเสี่ยงระดับหนึ่ง ดังนั้นการทำตลาดจึงค่อนข้างเฉพาะเจาะจงไปที่กลุ่มผู้มีความรู้ความเข้าใจใน การลงทุนและมีรายได้สูง ขณะที่ตัวแทนขายประกันก็ต้องผ่านการอบรมเพิ่มเติมและได้รับใบอนุญาตด้านการ ลงทุน

อย่างไรก็ตาม แบบประกันที่ควบการลงทุน ถูกตั้งคำถามมากพอสมควรเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือในการลงทุนและโอกาสขาดทุน โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีประเด็นร้อนๆ เกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตจนในบางประเทศอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง มีผู้ถือกรมธรรม์ประเภทนี้แห่เวนคืนกรมธรรม์กันมาก แต่สำหรับยูนิต ลิงค์ ที่จะเกิดขึ้นในไทย ได้กำหนดไว้แล้วว่าเบี้ยส่วนที่เป็นการลงทุนจะต้องลงทุนผ่านบริษัทหลัก ทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เท่านั้น ซึ่งจะเป็น "ตัวกรอง" ให้แก่ผู้เอาประกันได้อีกชั้นหนึ่ง

นอกจากนี้ เกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแนวใหม่ของ คปภ. ที่เป็นการควบคุมดูแลตามระดับความเสี่ยงยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการ สร้างความมั่นใจแก่ ผู้เอาประกันเพราะถ้าบริษัทเปิดช่องให้เกิด "ความเสี่ยง" มากขึ้นบริษัทก็ต้องสำรองเงินในกองทุนมากขึ้นตามเงื่อนไขการดำรงเงินกองทุน ตามระดับความเสี่ยงเช่นกัน

แม้ว่าแบบประกันทุกวันนี้จะมีทั้งปัจจัยแนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาสู่ตลาดในไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกขั้นของบันไดวิวัฒนาการก่อนที่ประเทศไทย จะพร้อมเปิดเสรีด้านการประกันภัย ขณะเดียวกันการพัฒนาก็ต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและตอบโจทย์ความต้องการ ของผู้บริโภคด้วย แต่นอกเหนือจากนั้นบริษัทประกันเองก็ต้องฉายภาพความมั่นคงแข็งแกร่ง และ "ผู้กำกับดูแล" ต้องเข้มงวดมากพอให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันด้วยเช่นกัน เพราะจากวันนี้ไป นอกจากผู้บริโภคจะต้องตัดสินใจว่า "จะซื้อกรมธรรม์แบบใด" แล้ว ยังต้องเลือกอีกว่า "จะซื้อกรมธรรม์กับบริษัทใด" ด้วย

ประชาชาติธุรกิจ