ประกันชีวิตกับการออมทรัพย์

ประกันชีวิตกับการออมทรัพย์
การประกันชีวิตเป็นการสร้างหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัว โดยไม่จำเป็นว่าผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินหลังจากผู้เอาประกันชีวิตเสีย ชีวิตเท่านั้น ผู้เอาประกันชีวิตสามารถเลือกทำประกันชีวิตเพื่อให้มีความมั่นคงทางการเงิน ให้กับตนได้ โดยการประกันชีวิตบางแบบ ที่เป็นแบบสะสมทรัพย์ ถ้าผู้เอาประกันชีวิตยังมีชีวิตอยู่ จนครบกำหนดกรมธรรม์ประกันก็จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันชีวิตที่ทำไว้ หากผู้เอาประกันชีวิตเสียชีวิตในระหว่างกรมธรรม์ประกันชีวิตมีผลบังคับ ผู้รับประโยชน์ก็จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันชีวิต กล่าวได้ว่า “ตายก็ได้รับเงินเอาประกันชีวิต อยู่ก็ได้รับเงินเอาประกันชีวิต” เป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต ลักษณะของการออมทรัพย์โดยการทำประกันชีวิต เกิดจากเบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทได้รับนั้นเมื่อหักด้วยเงินที่นำไปจ่ายแก่ ผู้เอาประกันชีวิตที่เสียชีวิต และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตแล้ว เงินส่วนที่เหลือจะสะสมกับดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนของบริษัทเป็นเงินออม ทรัพย์ ของผู้เอาประกันชีวิต การออมทรัพย์จากการทำประกันชีวิตจะแตกต่างจากการออมทรัพย์โดยวิธีฝากธนาคาร ซึ่งการฝากธนาคารนั้นจะได้รับจำนวนเงินเท่าที่ฝากมาพร้อมกับดอกเบี้ยเท่า นั้น แต่การประกันชีวิต แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะชำระเบี้ยประกันชีวิตเพียงครั้งเดียว แล้วเกิดเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับเงินเต็มจำนวน ตามเงินเอาประกันชีวิตที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

การประกันชีวิตต่างกับการประกันวินาศภัยเนื่องจากการประกันชีวิต จ่ายจำนวนเงินเอาประกันชีวิตเมื่อผู้เอาประกันชีวิตเสียชีวิต ส่วนการประกันวินาศภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่ เกินจำนวนเงินเอาประกันชีวิต

นอกจากประโยชน์ด้านการคุ้มครองและการออมทรัพย์แล้ว ยังมีประโยชน์ทางอ้อม คือ จำนวนเบี้ยประกันชีวิตที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ชำระไปในแต่ละปี เฉพาะในกรณีที่กรมธรรม์ประกันชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และการประกันชีวิตนั้นได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันชีวิต ที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาณาจักรไทย สามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท