Self Esteem: การนับถือตัวเอง

Self Esteem: การนับถือตัวเอง

Self Esteem: การนับถือตัวเอง
(นพ.ธรรมนาถ เจริญบุญ จิตแพทย์)

    คนสมัยนี้พูดถึงเรื่อง self esteem กันบ่อยๆ และหลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก แต่ก็ดูเหมือนจะยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องอยู่มาก ฉะนั้นมาดูกันดีกว่าว่า self esteem คืออะไร และการมี self esteem ที่ดีเป็นอย่างไร

    สำหรับในภาษาไทยนั้น self esteem มีการแปลออกมาหลายๆ ความหมาย เช่น การนับถือตัวเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง ในที่นี้จึงขอใช้ทับศัพท์ว่า self esteem ไปเลย เพื่อผู้อ่านจะได้ไม่สับสน

Self esteem คืออะไร
    Self esteem คือ ความคิดของคนๆ หนึ่งเกี่ยวกับตนเองว่าเป็นคนที่มีคุณค่า มีความหมาย และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วการนับถือตัวเองมีความสำคัญอย่างไร ก็คงต้องเปรียบเทียบว่า หากร่างกายต้องการอาหารฉันใด การนับถือตัวเองก็เป็นเหมือนอาหารทางใจฉันนั้น คือ เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง ผู้ที่มีความนับถือตนเองสูงจะมีความสงบและพึงพอใจในตนเอง ไม่อิจฉาริษยา กล้าตัดสินใจ และกล้าเผชิญกับปัญหา ส่วนผู้ที่มีความนับถือตนเองต่ำจะรู้สึกท้อแท้ได้ง่าย ไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นคนขี้อิจฉา ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลง่าย
ผมได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับหัวข้อนี้เอาไว้ด้วย เพราะเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนจิตแพทย์ได้ไปทำกระบวนการกลุ่ม (group process) เรื่อง self esteem ให้กับนักศึกษาแพทย์ ซึ่งผมจะขอเล่าถึงบางส่วนจากการอบรมครั้งนี้ให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย

      ในการทำกระบวนการกลุ่ม หลังจากที่มีการแนะนำตัวและให้ทุกคนได้สงบใจอยู่กับตัวเองแล้ว กิจกรรมแรก คือ เราขอให้ทุกคนเขียนคุณสมบัติที่ดี (หรือข้อดี) ของตัวเองลงไปในกระดาษ 10 ข้อ โดยมีข้อแม้ว่าต้องเขียนให้ครบ 10 ข้อ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีข้อดีมากกว่า 10 ข้ออยู่แล้ว ........(ถึงตอนนี้หากผู้อ่านจะลองเขียนข้อดีของตัวเองลงในกระดาษดูบ้างก็ได้นะครับ เมื่อเขียนเสร็จแล้วค่อยมาอ่านต่อ)......... หลังจากเขียนเสร็จ เราก็ให้ทุกคนออกมาพูดหรือบอกความรู้สึกว่า เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขียน นักศึกษาหลายคนบอกว่า นึกไม่ออก เขียนไม่ได้ ขอเขียนข้อเสียแทนได้ไหม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนส่วนใหญ่ แม้แต่พวกเราที่เป็นอาจารย์ก็เป็นเหมือนกัน คือ ไม่ว่าจะกับคนอื่นหรือกับตัวเองก็ตาม เรามักมองเห็นแต่ข้อเสียมากกว่า ไม่ค่อยเห็นข้อดี ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราก็มีข้อดีอยู่ แต่มีนักศึกษาอีกส่วนหนึ่งที่บอกว่า เขียนแล้วรู้สึกดี เพราะได้เห็นว่าตัวเองก็มีข้อดีหลายๆ ข้อ ซึ่งไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย

      ต่อมาเราให้ทุกคนเขียนคุณสมบัติที่ตัวเองรู้สึกไม่พอใจมา 10 ข้อเหมือนกัน (ลองเขียนตามเหมือนเดิมก็ได้นะครับ) แน่นอนว่าคราวนี้ทุกคนเขียนได้ และส่วนใหญ่ใช้เวลาสั้นกว่าการเขียนข้อดี ทำไมเราถึงให้เขียนข้อเสียด้วย ก็เพราะว่าคนทุกคนย่อมมีทั้งจุดดีและจุดด้อยเป็นธรรมดา ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง และเมื่อได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็พบเรื่องที่น่าสนใจ คือ หลายครั้งข้อเสียของคนหนึ่งกลับเป็นสิ่งที่อีกคนอยากได้ เช่น นักศึกษาคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองจู้จี้เจ้าระเบียบมากไป นักศึกษาอีกคนกลับรู้สึกว่าตัวเองช่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย คนหนึ่งบอกตัวเองใจร้อนไป อีกคนกลับบอกว่าตัวเองใจเย็นเกินไปจนไม่กล้าตัดสินใจ กิจกรรมนี้จึงทำให้ทุกคนเห็นว่า คนเรามีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน บางสิ่งที่คนหนึ่งอาจมองว่าเป็นข้อดี อีกคนกลับมองว่าเป็นข้อเสีย ทำให้ผมนึกถึงหลายๆ คนที่สับสนและตีคุณค่าของตัวเองจากคนภายนอก คือ ต้องให้คนอื่นมายกย่องชื่นชม จึงจะรู้สึกดีกับตัวเองได้ คนกลุ่มนี้จึงต้องมีชีวิตที่เหนื่อยมาก เพราะต้องทำสิ่งต่างๆ ให้คนอื่นยอมรับตลอดเวลา จริงอยู่การได้รับความชื่นชมจากคนอื่นอาจจะทำให้ตัวตนของเราพองขึ้นได้ แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นก็จะสลายไปหากมีบางคนไม่ยอมรับเรา เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันและเราย่อมไม่สามารถควบคุมคนอื่นให้คิดเหมือนๆ เราได้ ดังนั้นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเราจึงอยู่ที่เรา เราเป็นผู้ตัดสินเองว่า เราเป็นคนที่มีคุณค่าหรือไม่

      กิจกรรมต่อไป เราให้ทุกคนเขียนสิ่งที่ดีที่ซ่อนอยู่ในคุณสมบัติที่ไม่พอใจมาข้อละ 1 อย่าง ... ถึงตอนนี้หลายๆ คนอาจจะงงว่าคืออะไร ... คงต้องบอกก่อนว่า ไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นจึงมีข้อดีหรือจุดดีซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดีเสมอ เช่น คนที่บอกว่าความใจร้อนเป็นข้อเสียของตัวเอง แต่จะได้พบข้อดีของความใจร้อนที่ทำให้ตัวเองเป็นคนกล้าตัดสินใจ หรือตัดสินใจได้เร็ว หรือบางคนบอกว่าตัวเองขี้เกียจ แต่ในความขี้เกียจนั้นก็มีสิ่งดีคือ ทำให้เราได้พักมากขึ้น (ได้พักมากกว่าคนอื่น) เป็นต้น บางคนอาจถามว่านี่เป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า ก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่การหลอกตัวเอง เพราะเราไม่ได้บอกว่าเราไม่มีข้อเสีย ข้อเสียยังมีอยู่ แต่เราพยายามมองว่ามันมีข้อดีอะไรแทรกอยู่ในนั้นบ้างต่างหาก ขณะที่การหลอกตัวเองคือการบอกว่า เราไม่มีข้อเสียอันนั้น และก็เหมือนกับทุกครั้ง หลังจากทำเสร็จเราก็ให้นักศึกษาแพทย์แต่ละคนเล่าว่าเกิดอะไรในใจบ้างระหว่างที่ทำ ... เด็กคนหนึ่งบอกว่า รู้สึกยอมรับข้อเสียของตัวเองได้มากขึ้น เพราะพอเขียนไปแล้วรู้สึกได้ว่า มันไม่ได้แย่ไปเสียหมด เด็กอีกคนบอกว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นข้อเสีย มันอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า เราทำกิจกรรมเหล่านี้ก็เพราะอยากให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ว่า ทุกคนมีข้อดีและข้อเสียปะปนกันเสมอ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

แล้ว self esteem ที่ดีคืออะไร
    มาถึงจุดนี้หากถามผมว่า แล้ว self esteem ที่ดีคืออะไร ก็คงต้องบอกว่า คือ การที่เรายอมรับในสิ่งที่เราเป็น รับรู้ได้ถึงข้อดีและข้อเสียในตัวเอง แต่ก็ยังพอใจและยอมรับมัน รู้สึกดีและพอใจกับตัวเอง Virginia Satir *ได้พูดถึงเรื่อง self esteem ไว้ว่า คือการที่เรารู้สึกว่า “I own me, and therefore I can engineer me. I am me and I AM OK.” นั่นคือ “ฉันเป็นเจ้าของตัวฉันเอง ฉันสามารถควบคุมจัดการตัวฉันเองได้ ตัวฉันก็คือตัวฉัน และตัวฉันนั้นดีพอ” จะเห็นว่าหลายๆ ครั้งที่เราเข้าใจกันไปผิดๆ ว่า คนที่ self esteem ดีนั้นต้องเป็นคนเก่ง ต้องได้ที่ 1 ต้องเหนือกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่และไม่จำเป็นเลย

      ก่อนจบกิจกรรมมีนักศึกษาถามผมว่า self esteem ที่ดีต่างกับหลงตัวเองอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่หลายๆ คนคงสงสัยเช่นกัน สิ่งที่ต่างกัน คือ การหลงตัวเองนั้นคือการมองตัวเองดีกว่าความเป็นจริง และมักมองไม่เห็นข้อเสียของตัวเอง (ทำให้เวลาโดนใครว่าหรือตำหนิมักจะรับไม่ได้ โกรธ เสียใจอย่างรุนแรง) และการหลงตัวเองมักมาจากการเปรียบเทียบกับคนอื่น คิดว่าตัวเราดีกว่าคนอื่น แน่กว่าคนอื่น ในขณะที่คนที่มี self esteem ดีนั้นจะพอใจกับตัวเองได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร และไม่รู้สึกแย่เมื่อเห็นใครเก่งกว่าหรือดีกว่า

    ที่สำคัญ self esteem ที่ดีสามารถสร้างและส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าสายเกินไป หรือเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถเข้าใจ ยอมรับ เติมเต็มได้ด้วยตัวเอง และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะคงทน ไม่เปราะบาง ไม่แตกสลาย ไม่ว่าจะถูกกระทบจากสิ่งภายนอกอย่างไรก็ตาม

* มาจาก My Declaration of Self Esteem โดย Virginia Satir (หาได้ในอินเตอร์เน็ต)

เลี้ยงลูกอย่างไร ให้มี self esteem ที่ดี
    การเลี้ยงดู ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวของพ่อแม่มีอิทธิพลอย่างมากต่อ self esteem ของลูก ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกมี self esteem ที่ดี ผมมีแนวทางที่พ่อแม่สามารถนำไปใช้ได้มาฝากดังนี้ครับ

ช่วยให้ลูกรู้สึกดีกับตัวเอง
    ผู้ใหญ่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนภาพของตัวเด็ก นั่นคือหากผู้ใหญ่มองว่าเด็กไม่ดี เด็กก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี หากพ่อแม่มองว่าลูกโง่มาก ลูกก็จะรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ดังนั้นพ่อแม่ควรรักและพอใจไม่ว่าลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เรียนเก่งหรือเรียนไม่เก่ง หน้าตาดีหรือหน้าตาไม่ดีก็ตาม ต้องยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น ซึ่งจะทำให้ลูกยอมรับตัวเองได้ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่เคยภูมิใจในตัวลูกเลย ก็ยากที่จะทำให้ลูกภูมิใจในตัวเองได้

ชมเชยเมื่อลูกทำได้ดี
    ต้องรู้จักชมเชย ชื่นชม เมื่อลูกทำได้ดี (โดยไม่ต้องรอให้ต้องทำได้ดีมากๆ หรือดีที่สุด ถึงจะชื่นชม) เพื่อที่ลูกจะได้มีความมั่นใจในสิ่งที่ทำ และสะสมความรู้สึกดีๆ ว่า “ตัวเองทำได้” มีความภูมิใจในตัวเอง เด็กบางคนสอบได้ที่ 2 ที่ 3 ของห้อง แต่พ่อแม่ไม่เคยชมเลย (บางคนด่าด้วยซ้ำ) จะชมเฉพาะเมื่อสอบได้ที่ 1 เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะนอกจากจะเป็นการปลูกฝังค่านิยมที่ผิดๆ (ให้สนใจแต่การเอาชนะและเปรียบเทียบกับคนอื่น) ยังทำให้เด็กรู้สึกว่า พยายามเท่าไรก็ไม่เคยดีพอ

ไม่ควรดุด่า ลงโทษอย่างรุนแรงหรือบ่อยเกินไป
    เด็กวัยรุ่นบางคนขี่มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวครั้งเดียว แต่ถูกพ่อแม่ดุด่าจะเป็นจะตาย (ทั้งๆ ที่บางทีพ่อแม่ขับชนบ่อยกว่า แต่ไม่เคยว่าตัวเอง) ทำให้เด็กไม่กล้าทำอะไรและสูญเสียความมั่นใจ ฉะนั้นหากลูกทำอะไรไม่ถูก พ่อแม่ควรตักเตือน และบอกว่าที่ถูกควรจะทำอย่างไร แต่ไม่ควรบอกซ้ำๆ ซากๆ ย้ำไปย้ำมา เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกหงุดหงิดหรือเบื่อหน่ายได้ รวมถึงไม่ควรดุด่า หรือตำหนิตลอดเวลา เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่แย่มาก (ในสายตาของพ่อแม่) ทำอะไรก็ผิดไปหมด ซึ่งจะทำให้ self esteem ไม่ดี และกลายเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ

ไม่ควรเปรียบเทียบว่าเด็กคนอื่นดีกว่าลูก
    พ่อแม่ไม่ควรเปรียบเทียบว่าเด็กคนโน้นดีกว่าลูกอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง (บางครั้งอาจรู้สึกด้วยว่า พ่อแม่รักคนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะถ้าเปรียบเทียบกับพี่น้อง หรือญาติๆ) จนขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และหากถูกเปรียบเทียบมากๆ ลูกอาจจะรู้สึกต่อต้าน หรือท้อแท้ที่จะอะไรให้ดีขึ้น

ให้ลูกตัดสินใจในเรื่องที่เหมาะกับวัย
    เด็กควรได้รับความไว้วางใจให้มีอิสระในการเลือกตัดสินใจเอง เช่น ตัดสินใจว่าจะเรียนอะไรช่วงปิดเทอม อยากเล่นกีฬาชนิดไหน อยากไปเที่ยวที่ไหน เพื่อให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ และมีโอกาสได้ลองผิดลองถูกเองบ้าง รวมถึงจะได้ฝึกแก้ปัญหาหากเกิดความผิดพลาด ไม่ควรเลี้ยงแบบปกป้องมากเกินไป เพราะหากว่าเด็กไม่เคยได้รับอนุญาตให้เลือกอะไรเองเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโรงเรียน การแต่งตัว การเรียนพิเศษ เล่นกีฬา เล่นดนตรี... พอโตขึ้น เด็กจะเลือกตัดสินใจในชีวิตเองได้อย่างไร ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรช่วยเหลือในสิ่งที่เด็กต้องการเท่านั้น

การให้ความรักความอบอุ่นอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
ไม่น้อยไป และไม่มากเกินไปจนกลายเป็นการตามใจ self esteem จะเกิดได้ต้องควบคู่กับความรักเสมอ จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เป็นอันขาด


ID=2557,MSG=2968
Re: Self Esteem: การนับถือตัวเอง

Re: Self Esteem: การนับถือตัวเอง

ว่าด้วยความนับถือตนเอง และความเกรงใจ
ในช่วงที่ผ่านมา ดิฉันเคยได้มีโอกาสคุยกับท่านผู้อ่านเรื่องคุณค่าแห่งการนับถือตัวเอง หรือ Self Esteem

คนที่มี Self Esteemคือ คนที่ตระหนักรู้คุณค่าของตนเองรู้ว่าเรามีข้อดีมีความสำคัญ
อันมีส่วนส่งเสริมให้เราเป็นคนมั่นใจไม่หวั่นไหวง่ายแบบไร้สติ

คนที่ขาด Self Esteem มักขี้กังวลกลัวคนไม่ชอบยอมแพ้ง่ายซ้ำย้ำกับตนเองว่าฉันไม่เป็นฉันไม่เก่งฉันไม่ดีแถมบางทียังขี้อิจฉาหาโอกาสเปรียบเทียบตนกับคนอื่นร่ำไปประหนึ่งว่าใครได้ดีกว่าย่อมพาให้ฉันตกต่ำลงแบบปลงไม่เป็น

ล่าสุด Doveเจ้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์ดังในค่ายยักษ์ใหญ่Unileverได้ผลิตโฆษณาใหม่ได้ใจเรื่อง Self Esteem เริ่มเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นVDOเรื่อง “Dove Real Beauty Patch” “พลาสเตอร์ธรรมดากับความงามที่แท้จริง” ปัจจุบันมีผู้เข้าชมทั่วโลกกว่า 50 ล้านครั้ง

ทั้งนี้ Doveลงทุนสร้างโฆษณาต่อเนื่องเรื่องความงามที่แท้จริงของผู้หญิง โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทั่วไป ซึ่งมักเน้นประโยชน์ใช้สอย หรือ Functionality ของผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นขาวกว่า เนียนกว่า นุ่มกว่า เด้งกว่า ฯลฯ

นอกจากนั้นมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างฝันเฟื่องให้ลูกค้าอยากมีหน้าตา รูปร่างหรือผิวพรรณดังบรรดานางแบบ ที่ล้วนหุ่นเพรียวผอมบางเหมือนนางเก็บกระเพาะและลำไส้ใหญ่ไว้ที่บ้านหรือมีผิวกระจ่างใสขาวดั่งไข่ต้ม (ที่หากเป็นไข่ต้มจริงคงดูดีเพราะสีเป็นธรรมชาติแต่อาจดูแปลกประหลาดเมื่อเป็นเนื้อหนังคนเป็นๆ)

โครงการนี้ Doveเน้นวิธีที่ต่างคือ สร้างความมั่นใจให้ผู้ชมว่า “ความงามที่แท้จริงเป็นสิ่งที่อยู่ข้างในเรา”

Dove ทำงานร่วมกับ Dr. Ann Kearney-Cooke นักจิตวิทยาชื่อดังผู้เขียนหนังสือขายดีหลายเล่มเกี่ยวกับ Self Esteem ตลอดจนการกินอยู่เพื่อความสุขและสุขภาพ โดยทีมทำการทดลองกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับเชิญให้ร่วมในการทดลองใช้นวัตกรรมใหม่ในการเสริมความงามที่มีชื่อว่า RB-X

RB-Xเป็นแผ่นพลาสเตอร์ใช้แปะแขนผู้ร่วมโครงการ ผู้ร่วมทดลองต้องใช้ RB-X แปะแขนทุกวันวันละ12 ชั่วโมง ต่อเนื่องเป็นเวลา 15 วันและต้องบันทึกVDOสั้นๆ ทุกวัน เพื่อเล่าเรื่องผลของพลาสเตอร์นี้

ปรากฏว่าในวันแรกๆ ของการใช้ต่างบันทึกVDOเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นมีความแตกต่างแต่อย่างใด

กระนั้นก็ดีเมื่อการทดลองผ่านไปผู้เข้าโครงการเริ่มแสดงความแปลกใจในผลของ RB-X อาทิ มีเพื่อนร่วมงานชมว่าสวยขึ้น (ขนาดมีสิวขึ้นที่จมูกนะนี่) บางคนรู้สึกว่าตัวเองสวยขึ้น จนมีกำลังใจเริ่มไปออกกำลังกายกับสามี บางคนเห็นว่าตนดูดีขึ้นจึงชอบยิ้มทักทายใครๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นฯลฯ

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 15 วัน Dr.Kearney-Cookeเฉลยให้ผู้เข้าร่วมโครงการฟังว่าRB-X…มิใช่ผลิตภัณฑ์วิเศษแต่ประการใดเพราะไม่มีตัวยาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงพลาสเตอร์ธรรมดาๆ เท่านั้น !

สรุปว่าที่คน “เห็น” ว่าตัวเองสวยขึ้น เป็นเพราะเขา “คิด” ว่าตัวเองสวยขึ้น

อยู่ที่ความคิดที่มุมมองที่สมอง ที่ใจ หาใช่โลกนอกกายไม่
เมื่อมั่นใจว่าไม่สวย ดูอย่างไร ก็ไม่สวย ส่งผลให้ทำตัวไม่สวย หลบลี้หนีหน้า ไม่กล้าออกสังคม
เมื่อเชื่อว่าตัวเองสวย เราก็สวยได้ ส่งผลให้รื่นเริง แจ่มใส กล้าสู้หน้าใครๆ เพราะฉันมั่นใจว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด

วิธีการทดลองเช่นนี้มิใช่ใหม่ใช้กันทั่วไปในหลายบริบทไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมศาสตร์หรือแพทยศาสตร์ที่มีการทดสอบคนไข้ โดยให้ยาหลอกหรือ “Placebo”ซึ่งไม่มีส่วนผสมของตัวยา แต่ผู้ป่วยคิดว่าเป็นยาจริง ซึ่งหลายกรณี มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

กลับมาที่ประเด็นเรื่องความมั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะในหมู่คนทำงาน

มืออาชีพที่มีความมั่นใจในตัวเองย่อมมีเกราะป้องกันตนทำให้ไม่เป็นคนขี้หวั่นไหว ตรงข้ามกับผู้ที่ขาดความมั่นใจ เหมือนคนไร้แก่นไร้จุดยืนพร้อมย้วยไปย้ายมาแล้วแต่ใครจะพาไปไหน

หากคบคนดีก็จะโชคดีพร้อมดีด้วยแต่ยามซวยเจอเพื่อนชี้ทางลงก็จะหลงตามเขา
ยามพี่ตั้งวงนินทาใคร น้องก็ร่วมได้ไม่เคยขาด
ยามเขาลงทุนหยิบยืมเพื่อซื้อเสื้อผ้าทันสมัยของต้องใหม่ต้องแบรนด์เนม เกมส์นี้หนูก็ลงสนามด้วยเดี๋ยวดูไม่สวยเท่าใส่ของเก่าแล้วหมดความมั่นใจ
ยามเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อทำหน้าตึงขึงให้เป็นตัววีคางหนูเลยดูเป็นตัวยูอย่างไรก็ไม่รู้จึงสู้เก็บหอมรอมริบ ไว้ทำหน้าเกาหลีขอวีมั่ง
คำตรงข้ามกับ Self Esteemในภาษาอังกฤษ คือ Self deprecration คนที่มีอารมณ์นี้สูงมักเห็นว่าตัวเองต่ำต้อยน้อยค่าหาที่ดีไม่เจอเผลอทีไรก็ตอกย้ำจนจำขึ้นใจในสิ่งที่มีข้อบกพร่อง จนลืมมองของดีๆ ที่มีในตัว มัวแต่กลัวมุมมองของชาวบ้าน

ในบางกรณีความวิตกกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรทำให้ใครๆ ตัดสินใจได้ประหลาดยิ่ง
ตัวอย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันนั่งในเครื่องบินรอเวลาเครื่องออกไปสอนหนังสือต่างจังหวัด แถวข้างหน้ามีคุณแม่ที่เดินทางพร้อมลูกน้อยวัยไม่น่าหนี 2 ขวบระหว่างรอ เจ้าตัวเล็กออกฤทธิ์ร้องไห้โยเยแม่เริ่มกังวลหงุดหงิดปลอบก็แล้วดุก็แล้ว อย่างไรก็ไม่หยุด
ในที่สุด เธอเลยเอาเจ้าตัวน้อยวางบนพื้นเสียงดังตุ๊บใหญ่ ส่งผลให้เจ้าตัวเล็กนอกจากไม่หยุดร้องกลับเสียงก้องขึ้นน้ำตากลบอย่างไม่ยอมจบง่ายๆ
แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อเลยตีเข้าให้หลายป้าบ

ยิ่งตียิ่งร้องจนป้าอย่างดิฉันอดรนทนไม่ได้สะกิดให้แอร์การบินไทยกรุณาเข้าไปช่วยก่อนเด็กช้ำ
ในที่สุดเจ้าตัวเล็กคงหมดแรงหลับไปไม่แผลงฤทธิ์จนเครื่องลง
ระหว่างยืนเข้าแถวรอลงเครื่องดิฉันยืนข้างคุณแม่พอดีจึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้างแม่ละล่ำละลักตอบว่า “เกรงใจจริงๆ ลูกหนูร้องเสียงดังมาก”

ป้าตอบว่าไม่เป็นไรหรอก ผู้โดยสารคงมีเข้าใจบ้าง รำคาญบ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบการตีลูกตัวน้อยให้เขาเจ็บแต่ไม่เข้าใจ กับยอมให้คนอื่นรำคาญบ้าง ป้าว่าเลือกอย่างหลัง น่าจะดีกว่า

ทั้งนี้ แม่ท่านนี้ มีทางเลือกอื่นใดอีกไม่น้อย เช่นระหว่างรอเครื่องขึ้น ลุกเดินไปขอโทษเพื่อนร่วมทางรอบข้างก่อนว่าขออภัยที่ลูกร้องไห้เสียงดังกำลังพยายามปลอบอยู่เป็นการลดแรงกดดันก็ดูเข้าท่ากว่าตีลูกตนที่เล็กจนอาจไม่เข้าใจ
คุณแม่หลายคนอาจไม่ทำ เพราะแม่ทั้งเกรงใจ ทั้งอายเขา
ลูกคงบอก อ้าว..เพราะ“แม่”เกรงใจ “แม่”อายคนอื่นเขา แม่เลยเลือกตีเราแทน..งง!

สรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจในตัวเอง ความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ ความเกรงใจผู้อื่นล้วนแล้วต้องผสมผสาน อยู่บนความสมดุลพอดี
มั่นใจในตนเองเกินไป กลายเป็นหลงตัวเอง
อ่อนน้อมถ่อมตนเกินไป กลายเป็นไร้น้ำยา
เกรงใจใครๆ มากเกินไป กลายเป็นไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ลองมามองตนใหม่ด้วยใจเป็นกลาง มองแบบห่างๆ อย่างมีสติ จะได้เห็นชัดขึ้นว่าอะไรน้อยไป อะไรมากไป

ที่สำคัญไม่มีใครทำให้สมดุลขึ้นได้ยกเว้นตัวเราเอง


ID=2557,MSG=2969


⭐️ เราให้คำแนะนำปรึกษา รักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้า ของเรา
⭐️ เราอยู่เคียงข้างลูกค้าของเรา ช่วยเหลือ ดูแลบริการ
⭐️ เรารองรับช่องทางติดต่อมากมาย สะดวก เข้าถึงง่าย
⭐️ เราดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า20 ปี คุณจึงมั่นใจได้
⭐️ คุณมีสามารถรับบริการทั้งจากบริษัทประกันเจ้าของสินค้า และ เรา (ตัวกลาง)

ไทย มีราว 80 บริษัทประกันภัย สินค้าที่แตกต่าง ทั้ง เงื่อนไข ราคา เคลม ความมั่นคง นโยบาย ฯลฯ
ขายผ่านตัวกลาง กว่า 500,000 ราย : ตัวแทน นายหน้า ธนาคาร บิ๊กซี โลตัส ค่ายรถยนต์ เฮ้าส์แบรนด์ ของประกันภัย หรือ ซื้อตรงกับบริษัทเจ้าของสินค้า
⭐️ ตัวอย่าง การบริการ กดดูที่ลิงค์นี้

"สิ่งที่ต้องคำนึงอันดับแรกในการซื้อประกัน คือ ตัวกลางประกันภัย ซึ่งจะเป็นที่ปรึกษา ช่วยเหลือ ดูแลเรา ตลอดอายุกรมธรรม์"

โปรดรอ

display:inline-block; position:relative;
โทร.(จ-ศ : 9-16) เว้นวันหยุดฯ , ลูกค้าเรา บริการ 24/7/365 , Thursday เวลา 09:53:39pm (ลูกค้าเราติดต่อทางไลน์พิเศษที่ให้ไว้ตอนซื้อประกัน😍)
Copyright © 2018 Cymiz.com., All rights reserved.นโยบาย,ข้อตกลงcymiz.com