ปัญหาเรื้อรัง"หั่นค่าคอมฯ" เสียงครวญโบรกฯน้องใหม่ป่วนวงจรค้าหุ้น

ประเด็น "ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์" หรือค่าคอมมิสชั่นมักจะเป็นปัญหาที่ทำให้วงการโบรกเกอร์ต้องปั่นป่วนทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่มีโบรกฯใหม่เข้ามาทำโปรโมชั่นค่าคอมฯสุดโต่ง

ล่าสุด น้องใหม่ "บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล" (ASL) เข้ามาเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา จึงอัดโปรโมชั่น "เทรด 1 ล้านบาท จ่ายค่านายหน้า 800 บาท" ในช่วง 3 เดือนแรก เพื่อดูดนักลงทุนรายกลางและรายเล็ก โดยลูกค้าหลักจะเป็นการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตสัดส่วน 80% และอีก 20% ผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง)


ผสมผสานกับกลยุทธ์ "ลดต้นทุน" ด้วยการเปิดจุดบริการภายในสาขาของร้านกาแฟ "คอฟฟี่ บีน ที ลิฟ" (Coffee Bean Tea Leaf) แทนการเปิดห้องค้าใหม่ เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เร็วขึ้น โดยเป้าหมายมีลูกค้า 2 หมื่นบัญชีภายในปี 2560

แผนการตลาดนี้เป็นกลยุทธ์ "เชิงรุก" ที่น่าสนใจ แต่ในฟากของโบรกฯรุ่นพี่อาจไม่สบายใจนัก โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา "ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ" นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยกล่าวว่า สมาคมได้เรียกประชุมสมาชิกด่วนเพื่อหารือเรื่องการกำหนดค่าคอมมิสชั่น พร้อมอธิบายให้สมาชิกแข่งขันกันที่บริการนักลงทุนเป็นหลัก เพราะในไตรมาส 3/58 นี้ก็กำลังจะมีโบรกฯน้องใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 1 ราย

"ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า การใช้โปรโมชั่นค่าธรรมเนียมของโบรกฯน้องใหม่จะเป็นเพียงการทำการตลาดในช่วงเริ่มต้นหรือเปล่า แต่ถ้าจะนานกว่านั้นเราอาจต้องหารือกันในสมาคมอีกครั้งเพื่อพิจารณาทางออกต่อไป สิ่งที่เราทำไม่ได้เป็นการบังคับคนด้วยกฎหมู่ เพราะธุรกิจนี้มีเสรีก็จริง แต่ก็ต้องมีกติกาด้วย"

กติกาที่ว่านี้คือ การกำหนดค่าคอมมิสชั่นในระดับยุติธรรมในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 0.14-0.16% เพราะหากมีการใช้วิธีลดค่าคอมฯจะเป็นการตัดราคาโบรกฯรายอื่นเกินกว่าความเป็นจริง อาจส่งผลให้โบรกฯรายเดิมที่ทำธุรกิจในเชิงสร้างสรรค์ เช่น มีบทวิเคราะห์การลงทุน บริการแนะนำการลงทุน ฯลฯ อาจต้องหายไปจากวงการ ซึ่งจะสร้างความเสียหายในอนาคตมากกว่า


เสียงสะท้อนจากโบรกเกอร์รายใหญ่ "บุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชี้ปัญหาการดัมพ์ค่าคอมมิสชั่นว่า ประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแน่นอน เพราะหากโบรกฯในตลาดเจ้าเดิมยังคงเดินหน้าผลิตบทวิเคราะห์ จัดสัมมนา อบรม แต่นักลงทุนกลับไปซื้อขายกับโบรกฯที่มีค่าคอมฯต่ำกว่า ก็จะทำให้โบรกฯ เดิมต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงจนไม่สามารถพัฒนาบทวิเคราะห์ได้ และนำไปสู่การแข่งขันที่เน้นเพียงราคาถูก

ที่สำคัญช่วงปีนี้ภาวะตลาดไม่ได้คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมาก็ยิ่งกดดันโบรกฯมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาดูแลการเข้ามาของโบรกเกอร์ใหม่ด้วย อาทิ ควรกำหนดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์มากกว่าแข่งตัดราคาอย่างเดียว

"ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ ผสมกับสภาพตลาดแบบนี้ด้วย คงจะได้เริ่มเห็นโบรกฯขาดทุนแน่ เพราะขนาดเราซึ่งมี Economy of Scale สูง ยังต้องพยายามต่อสู้อย่างมาก เพื่อรับส่วนแบ่งตลาดให้ได้เฉลี่ย 11% ในปีนี้" บุญพรกล่าว

พร้อมให้ข้อมูลว่า ปกติค่าคอมฯที่ถึงจุดคุ้มทุนจะประมาณ 1,000-1,200 บาทต่อการซื้อขาย 1 ล้านบาท หรือหากเป็นโบรกฯขนาดเล็กน่าจะอยู่ที่ราว 1,400 บาทต่อการซื้อขาย 1 ล้านบาท ดังนั้น หากเข้าสู่จุดสมดุลได้ก็จะทำให้อุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบ

ส่วนอีกโบรกเกอร์ที่เข้ามาเมื่อต้นปีที่แล้ว (23 ม.ค. 2557) "ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ" ประธานกรรมการบริหาร บล.แอพเพิล เวลธ์ จำกัดมีความเห็นว่า บริษัทก็เน้นบริการผ่านระบบออนไลน์เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าเทรดผ่านระบบออนไลน์ราว 50% และผ่านมาร์เก็ตติ้ง 50% ในอนาคตเป็น 70 : 30 เพื่อหลีกเลี่ยงการหั่นค่าคอมฯได้ พร้อมชูนวัตกรรมการลงทุน "MetaTrader 5" ซึ่งจะสามารถให้ข้อมูลได้รอบด้านทั้งด้านเทคนิคอลและปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเครื่องมือนี้ช่วยตัดสินใจการลงทุน การคิดค่าคอมฯตามคุณภาพบริการได้

เสียงสะท้อนจากโบรกฯจะเข้าถึงเลขาฯ ก.ล.ต.คนใหม่ "รพี สุจริตกุล" แค่ไหน และจะมีการเข้ามาวางกรอบที่ดีขึ้นแค่ไหนคงต้องจับตากันต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1433135537