ธนชาต ระส่ำผวาแบงก์ขายกิจการ พนง.ประกันชีวิตแห่ย้าย-ลาออกซบรังใหม่

กระแสข่าวธนาคารธนชาต แบงก์แม่ของ “ธนชาตประกันชีวิต” และ “ประกันชีวิตนครหลวงไทย” มีแผนจะขายกิจการประกันชีวิตในมือ จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ซึ่งแวดวงธุรกิจต่างก็เฝ้าจับตามอง แต่ขณะเดียวกันภาวะความ อึมครึมนี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในองค์กรอีกด้วย

แหล่งข่าวจากวงการประกันชีวิต เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า กระแสข่าวการ ขายกิจการของธนชาตทำให้ภายในบริษัท ธนชาตประกันชีวิตเกิดความระส่ำระสายอย่างหนักในหมู่พนักงาน โดยเกิดการโยกย้ายกันอุตลุด ทั้งการย้ายแผนกภายใน องค์กร การย้ายไปอยู่บริษัท ธนชาต ประกันภัย จำกัด กระทั่งการลาออก ย้ายไปอยู่บริษัทอื่นก็มี

“การย้ายก็เช่นประกันกลุ่ม บางคนก็ย้ายไปอยู่กับนายเก่า คือ ดร.ชาติชัย พาราสุข ที่ขณะนี้ไปอยู่บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิตก็มี บางส่วนที่เคยดูแลธุรกิจสถาบันการเงินก็ย้ายไปอยู่บริษัททิพยประกันภัยก็มี และบางส่วนก็ย้ายไปอยู่ กับธนชาตประกันภัยก็มี ขณะที่ผู้บริหารเอง นับแต่มีข่าวบริษัทจะขายธุรกิจ ก็ไม่ได้ออกมาแจ้งความชัดเจนให้กับพนักงานได้รับรู้แต่อย่างใด ทำให้บรรยากาศยามนี้มีแต่ ความสับสน”

ขณะที่ในส่วนของบริษัท ประกันชีวิต นครหลวงไทย จำกัด ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ โดยแหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทยรายหนึ่ง เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าการทำงานยังเป็นไปตามแผนงานปกติ ยังไม่มีแรงกระเพื่อม ใดๆ ต่อข่าวที่ออกมา ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็น เพราะสำนักงานอยู่คนละที่กันแต่ก็ยังรอความชัดเจนจากทางแบงก์อยู่เช่นกัน ส่วนความเคลื่อนไหวของพนักงานในธนชาตประกันชีวิตนั้น อาจเป็นเพราะจำนวนพนักงานที่มาก ทำให้เกิดการแตกตื่นถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

“คนของเราไม่เยอะเท่าธนชาตประกันชีวิต แต่เราก็บอกคนของเราว่า หากจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยน แต่องค์กรไม่ใช่เล็กๆ ลูกค้าหลักแสน เบี้ยหลักหมื่นล้านบาท การเปลี่ยนแปลงคงไม่มีใครอยากให้กระทบง่ายๆ เหมือนตอนที่สยามซิตี้ประกันภัยเปลี่ยนผู้ถือหุ้น ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ ผู้บริหารก็ยังชุดเดิมการทำงานก็ยังเป็นปกติ ไม่มีใครเดือดร้อน”

สำหรับบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด ซึ่งตามข่าวไม่ได้ระบุว่าจะถูกขาย เพราะถือเป็นธุรกิจที่รองรับการทำตลาดลีสซิ่งของแบงก์ และเริ่มเน้นรับเฉพาะลูกค้ารายย่อย โดยแหล่งข่าวจากวงการประกันวินาศภัย เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ธนชาตเริ่มกระจายงานรายใหญ่ให้กับบริษัทประกันภัยอื่นๆ โดยล่าสุดงานประกันภัยทรัพย์สินราว 50% ของทั้งหมด ธนชาตได้ส่งให้กับแอกซ่าประกันภัย ส่วนที่เหลือกระจายไปให้บริษัทอื่นรับไป

“ถ้าแบงก์จะเก็บพอร์ตงานไว้จริงๆ ก็ให้ทางธนชาตประกันภัยออกแบบกรมธรรม์มารองรับลูกค้าได้ แต่ทางแบงก์ก็เลือกที่จะปล่อยงานออกไปให้บริษัทประกันภัยอื่น ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าเมื่อตอนที่ยังไม่ได้ขายสยามซิตี้ประกันภัย ออกไป นโยบายของแบงก์คือให้ธนชาต ดูแลงานรายย่อย ส่วนรายใหญ่ให้สยาม ซิตี้ดูแล แต่เมื่อขายไปแล้วจึงเลือกกระจายงานรายใหญ่ไปให้บริษัทอื่น เพราะตัวเองชำนาญในตลาดรายย่อยมากกว่าก็เป็นได้”

อนึ่ง การแบ่งงานของบริษัทประกันชีวิตนั้น บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด ขายสินค้าประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ ซึ่งตามข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทยในช่วงมกราคม-เมษายน 2555 มีเบี้ยรับรวม 2,258.5 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยปีแรก (FYP) 396.6 ล้านบาท เติบโตถึง 89% เป็นเบี้ยต่ออายุ 371.2 ล้านบาท เติบโต 29% และเป็นเบี้ยชำระครั้งเดียว หรือซิงเกิลพรีเมี่ยม 1,490.7 ล้านบาท ติดลบ 6% ขณะที่บริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด ขายสินค้าประเภทคุ้มครองระยะยาวโดยเฉพาะแบบคุ้มครองตลอดชีพ จึงทำให้มีเบี้ยรับรวม 452.5 ล้านบาทลดลง 35% กระแสข่าวธนาคารธนชาต แบงก์แม่ของ “ธนชาตประกันชีวิต” และ “ประกันชีวิตนครหลวงไทย” มีแผนจะขายกิจการประกันชีวิตในมือ จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ซึ่งแวดวงธุรกิจต่างก็เฝ้าจับตามอง แต่ขณะเดียวกันภาวะความ อึมครึมนี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในองค์กรอีกด้วย

แหล่งข่าวจากวงการประกันชีวิต เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า กระแสข่าวการ ขายกิจการของธนชาตทำให้ภายในบริษัท ธนชาตประกันชีวิตเกิดความระส่ำระสายอย่างหนักในหมู่พนักงาน โดยเกิดการโยกย้ายกันอุตลุด ทั้งการย้ายแผนกภายใน องค์กร การย้ายไปอยู่บริษัท ธนชาต ประกันภัย จำกัด กระทั่งการลาออก ย้ายไปอยู่บริษัทอื่นก็มี

“การย้ายก็เช่นประกันกลุ่ม บางคนก็ย้ายไปอยู่กับนายเก่า คือ ดร.ชาติชัย พาราสุข ที่ขณะนี้ไปอยู่บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิตก็มี บางส่วนที่เคยดูแลธุรกิจสถาบันการเงินก็ย้ายไปอยู่บริษัททิพยประกันภัยก็มี และบางส่วนก็ย้ายไปอยู่ กับธนชาตประกันภัยก็มี ขณะที่ผู้บริหารเอง นับแต่มีข่าวบริษัทจะขายธุรกิจ ก็ไม่ได้ออกมาแจ้งความชัดเจนให้กับพนักงานได้รับรู้แต่อย่างใด ทำให้บรรยากาศยามนี้มีแต่ ความสับสน”

ขณะที่ในส่วนของบริษัท ประกันชีวิต นครหลวงไทย จำกัด ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ โดยแหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทยรายหนึ่ง เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าการทำงานยังเป็นไปตามแผนงานปกติ ยังไม่มีแรงกระเพื่อม ใดๆ ต่อข่าวที่ออกมา ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็น เพราะสำนักงานอยู่คนละที่กันแต่ก็ยังรอความชัดเจนจากทางแบงก์อยู่เช่นกัน ส่วนความเคลื่อนไหวของพนักงานในธนชาตประกันชีวิตนั้น อาจเป็นเพราะจำนวนพนักงานที่มาก ทำให้เกิดการแตกตื่นถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

“คนของเราไม่เยอะเท่าธนชาตประกันชีวิต แต่เราก็บอกคนของเราว่า หากจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยน แต่องค์กรไม่ใช่เล็กๆ ลูกค้าหลักแสน เบี้ยหลักหมื่นล้านบาท การเปลี่ยนแปลงคงไม่มีใครอยากให้กระทบง่ายๆ เหมือนตอนที่สยามซิตี้ประกันภัยเปลี่ยนผู้ถือหุ้น ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ ผู้บริหารก็ยังชุดเดิมการทำงานก็ยังเป็นปกติ ไม่มีใครเดือดร้อน”

สำหรับบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด ซึ่งตามข่าวไม่ได้ระบุว่าจะถูกขาย เพราะถือเป็นธุรกิจที่รองรับการทำตลาดลีสซิ่งของแบงก์ และเริ่มเน้นรับเฉพาะลูกค้ารายย่อย โดยแหล่งข่าวจากวงการประกันวินาศภัย เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ธนชาตเริ่มกระจายงานรายใหญ่ให้กับบริษัทประกันภัยอื่นๆ โดยล่าสุดงานประกันภัยทรัพย์สินราว 50% ของทั้งหมด ธนชาตได้ส่งให้กับแอกซ่าประกันภัย ส่วนที่เหลือกระจายไปให้บริษัทอื่นรับไป

“ถ้าแบงก์จะเก็บพอร์ตงานไว้จริงๆ ก็ให้ทางธนชาตประกันภัยออกแบบกรมธรรม์มารองรับลูกค้าได้ แต่ทางแบงก์ก็เลือกที่จะปล่อยงานออกไปให้บริษัทประกันภัยอื่น ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าเมื่อตอนที่ยังไม่ได้ขายสยามซิตี้ประกันภัย ออกไป นโยบายของแบงก์คือให้ธนชาต ดูแลงานรายย่อย ส่วนรายใหญ่ให้สยาม ซิตี้ดูแล แต่เมื่อขายไปแล้วจึงเลือกกระจายงานรายใหญ่ไปให้บริษัทอื่น เพราะตัวเองชำนาญในตลาดรายย่อยมากกว่าก็เป็นได้”

การแบ่งงานของบริษัทประกันชีวิตนั้น บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด ขายสินค้าประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ ตามข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย ช่วงมกราคม-เมษายน 2555 มีเบี้ยรับรวม 2,258.5 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยปีแรก (FYP) 396.6 ล้านบาท เติบโตถึง 89% เป็นเบี้ยต่ออายุ 371.2 ล้านบาท เติบโต 29% และเป็นเบี้ยชำระครั้งเดียว หรือซิงเกิลพรีเมี่ยม 1,490.7 ล้านบาท ติดลบ 6% ขณะที่บริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด ขายสินค้าประเภทคุ้มครองระยะยาวโดยเฉพาะแบบคุ้มครองตลอดชีพ จึงทำให้มีเบี้ยรับรวม 452.5 ล้านบาทลดลง 35%